บันทึกการเรียนรู้ ครั้งที่6
วันพุธ ที่21 กุมภาพันธ์ 25561

เนื้อหา
การนำเสนอคำคมทางการบริการคุณลักษณะของผู้นำที่ดี
โดย นางสาวจีรวรรณ งามขำ

การนำเสนอคำคมทางการบริการคุณลักษณะของผู้นำที่ดี
โดย นางสาวมาลิณี ทวีพงค์

การนำเสนอคำคมทางการบริการคุณลักษณะของผู้นำที่ดี
โดย นางสาวจิรญา พัวโสพิต

การนำเสนอคำศัพท์ที่เกี่ยวกับคุณลักษณะของผู้นำที่ดี จากตัวอักษรในชื่อตนเอง




โครงสร้างขององค์กรและการจัดระบบบริหารงานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย
      การบริหารงานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย
การบริหารสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย มีลักษณะการบริหารเฉพาะตัว โดยที่ต้องคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้
1. นโยบาย และยุทธศาสตร์ในการพัฒนาประเทศของรัฐบาล
2. แผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ
3. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
4. พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
5. หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
6. ปรัชญา นโยบายและวัตถุประสงค์ของสถานศึกษา
7. ความต้องการของชุมชน 


    การจัดประเภท และรูปแบบสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยในประเทศไทย
1. การจัดแบ่งตามโครงสร้างการบริหารตามขนาด แบ่งเป็น 3 ขนาด คือ
   1) โครงสร้างบริหารสถานศึกษาปฐมวัยขนาดเล็ก
   2) โครงสร้างบริหารสถานศึกษาปฐมวัยขนาดกลาง
   3) โครงสร้างบริหารสถานศึกษาปฐมวัยขนาดใหญ่

2. การแบ่งตามรูปแบบตามพระราชบัญญัติการศึกษาชาติ
    (พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2 )พ.ศ. 2545 กล่าวไว้ใน มาตรา 15กำหนดการจัดการศึกษา มี 3 รูปแบบ คือ)
   1.รูปแบบในระบบโรงเรียน
   2.รูปแบบนอกระบบโรงเรียน
   3.รูปแบบตามอัธยาศัย 


3. รูปแบบการให้บริการแบบใหม่
    คือ การรวมเด็กที่ผิดปกติและเด็กปกติไว้ด้วยกัน โดยเรียกแบบนี้ว่า “Normalization” 


หลักในการบริหารงานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย

1. การบริหารงานวิชาการ
    เป็นการบริหารกิจกรรมทุกชนิดในโรงเรียน ซึ่งเกี่ยวข้องกับการปรับปรุงพัฒนาการสอนผู้เรียนให้ได้ผลดีและมีประสิทธิภาพที่สุด
2. การบริหารงานบุคคลในสถานศึกษาปฐมวัย
    คือ การปฏิบัติการใช้คนให้ทำงาน อย่างมีประสิทธิภาพโดยมีขบวนการต่าง ๆ
3. การบริหารงานธุรการและการเงินในสถานศึกษาปฐมวัย
- งานธุรการในสถานศึกษา
- งานการเงินในสถานศึกษาปฐมวัย
- งานสารบรรณในสถานศึกษาปฐมวัย
- งานทะเบียนและรายงาน
- งานรักษาความปลอดภัย
- งานการเงินและพัสดุ
- งานพัสดุ
4. การบริหารงานกิจการนักเรียนในสถานศึกษาปฐมวัย
    คือ การดำเนินงาน เพื่อสนับสนุนการจัดกิจกรรมในโรงเรียนโดยนักเรียนสมัครใจร่วมกิจกรรมเพื่อพัฒนาตนเอง
5. การบริหารสภาพแวดล้อมในสถานศึกษาปฐมวัย
- การบริหารสภาพแวดล้อมทางกายภาพ
- การบริหารสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการจัดกิจกรรมและประสบการณ์

    การบริหารสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยในยุคปฏิรูป
ความหมาย การบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน (School Based Management)
    คือ การบริหารโดยกระจายอำนาจทางการศึกษาไปยังสถานศึกษาโดยตรงให้มีอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบและความคล่องตัวในการบริหารจัดการมากที่สุด
หลักการในการบริหารแบบโรงเรียนเป็นฐาน(School Based Management)
• หลักการกระจายอำนาจ (Decentralization)
• หลักการมีส่วนร่วม (Participation or Collaboration Involvement)
• หลักการคืนอำนาจจัดการศึกษาให้ประชาชน( Return Power to People)
• หลักการบริหารตนเอง (Self - managing)
• หลักการตรวจสอบและถ่วงดุล (Check and Balance) 


    รูปแบบโรงเรียนที่ใช้การบริหารแบบโรงเรียนเป็นฐาน
• ผู้บริหารโรงเรียนเป็นหลัก(Administrative Control School Council )
• บริหารโดยครูเป็นหลัก(Professional Control Council)
• การบริหารจัดการโดยชุมชนมีบทบาท(Community Control School Council)
• ครูและชุมชนมีบทบาทหลัก(Professional Community Control School Council) 


    องค์กรแห่งการเรียนรู้ 
ศาสตร์ทั้ง 5 ขององค์กรแห่งการเรียนรู้ (ปีเตอร์ เอ็ม. เซงเก (Peter M. Senge) )
• การใฝ่ใจพัฒนาตน (Personal Mastery)
• รูปแบบของความคิด (Mental Models)
• วิสัยทัศน์ร่วม (Shared Vision)
• การเรียนรู้เป็นทีม (Team Learning)
• การคิดเชิงระบบ (System Thinking)

    การบริหารแบบมีส่วนร่วม
สาระสำคัญของการบริหารแบบมีส่วนร่วม
• การมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น
• การมีส่วนร่วมช่วยให้เกิดการยอมรับในเป้าหมาย
• การมีส่วนร่วมช่วยให้เกิดความสำนึกในหน้าที่ความรับผิดชอบ 


    ผลดีของการบริหารแบบมีส่วนร่วม
• สร้างสรรค์ให้มีการระดมกำลังจากบุคคลต่าง ๆ
• สร้างบรรยากาศและพัฒนาประชาธิปไตยในการทำงาน
• ช่วยให้ลดความขัดแย้งระหว่างผู้บริหารกับผู้ปฏิบัติงาน
• การบริหารแบบมีส่วนร่วม
• ผลงานที่เกิดขึ้น
• สร้างความสมดุลระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายปฏิบัติ 


    ข้อจำกัดของการบริหารแบบมีส่วนร่วม
• การแสดงความคิดเห็นเกิดข้อขัดแย้งกับฝ่ายบริหาร
• ก่อให้เกิดกลุ่มอิทธิพล
• ผู้บริหารกลัวสูญเสียอำนาจ
• การบริหารงานไม่สามารถใช้กับงานที่เร่งด่วนได้
• ใช้งบประมาณมาก
• ความคิดเห็นจากบุคคลภายนอกไม่ได้รับการยอมรับเท่าที่ควร
• การไม่เข้าใจหน้าที่มักจะทำให้เกิดการก้าวก่ายหน้าที่ซึ่งกันและกัน 

    การวิเคราะห์เชิงปฏิบัติ (SWOT Analysis Workshop)
SWOT คืออะไร
    คือการวิเคราะห์สำรวจตรวจสอบสภาพภายในองค์กร และสภาพแวดล้อมภายนอก เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการวางแผน
S : จุดแข็ง
W : จุดอ่อน
O : โอกาส
T : อุปสรรค

    แต่สิ่งสำคัญที่ทุกคนต้องไม่มองข้ามไปคือ เรากำลังจะเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ ที่อาจจะทำให้บางคนไม่พอใจจากการสำรวจ
จุดอ่อน:W-จุดแข็ง:Sภายในองค์กร และ 
โอกาส:O-อุปสรรค:Tภายนอก

ความรู้ที่ได้รับ
    การบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน เป็นการถ่ายโอนอำนาจจากหน่วยงานไปให้แก่โรงเรียนได้บริหารแบบ เบ็ดเสร็จที่โรงเรียนโดยมอบอำนาจการบริหารและจัดการศึกษาให้แก่คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานซึ่งประกอบด้วยผู้ปกครอง    
ประเมินอาจารย์ : มีวิธีการอธิบายอย่างเข้าใจง่าย พร้อมยกตัวอย่างประกอบสถานการณ์
ประเมินเพื่อน : มีความพร้อมในการมาเรียน เข้าเรียนตรงเวลา แต่งกายเรียบร้อย
ประเมินตนเอง : ตั้งใจฟังขณะอาจารย์สอน และไม่คุยกับเพื่อนเสียงดังรบกวนอาจารย์และเพื่อนคนอื่น


บันทึกการเรียนรู้ ครั้งที่5
วันพุธ ที่14 กุมภาพันธ์ 2561

เนื้อหา

การนำเสนอคำคมทางการบริหาร โดย นางสาวณัฐณิชา ศรีบุตรตา


การนำเสนอคำคมทางการบริหาร โดย นางสาววราพร สงวนประชา


การนำเสนอคำคมทางการบริหาร โดย นางสาวสุธาสิณี อายุมั่น


การนำเสนอคำศัพท์คุณลักษณะของผู้นำที่ดี ในชื่อ Phornchanok

ความรู้ที่ได้รับ
      เรื่องของผู้นำนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมาก หลายองค์กรพยายามที่จะหาวิธีในการพัฒนาภาวะผู้นำของผู้บริหารทุกระดับให้เกิดขึ้น เพื่อที่จะให้ผู้นำเหล่านี้ เป็นผู้ผลักดันความสำเร็จให้เกิดขึ้นกับองค์กร และจากผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยมิชิแกน ในเรื่องของภาวะผู้นำนั้น ก็ยืนยันว่า องค์กรที่ประสบความสำเร็จนั้น เป็นผลมาจากการที่ผู้บริหารของตนมีภาวะผู้นำ และสามารถนำองค์กร นำคน ให้ไปสู่เป้าหมายที่กำหนดไว้ได้
ประเมินอาจารย์ : มีวิธีการอธิบายอย่างเข้าใจง่าย พร้อมยกตัวอย่างประกอบสถานการณ์
ประเมินเพื่อน : มีความพร้อมในการมาเรียน เข้าเรียนตรงเวลา แต่งกายเรียบร้อย

ประเมินตนเอง : ตั้งใจฟังขณะอาจารย์สอน และไม่คุยกับเพื่อนเสียงดังรบกวนอาจารย์และเพื่อนคนอื่น










บันทึกการเรียน ครั้งที่4
วันพุธ ที่7 กุมภาพันธ์ 2561

เนื้อหา
การนำเสนอคำคมทางการบริหาร โดย นางสาวสุริยาพร กลั่นบิดา


การนำเสนอคำคมทางการบริหาร โดย นางสาวสุวนันท์ สายสุด


การนำเสนอคำคมทางการบริหาร โดย นางสาวเรณุกา บุญประเสริฐ


การนำเสนอรูปแบบของสถานศึกษา
กลุ่มที่1 โรงเรียนสาธิตละอออุทิศ



ก่อน พ.ศ. 2482 การอนุบาลศึกษาของไทยยังไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลาย เพราะมี โรงเรียนเอกชนเพียง 2 แห่ง ที่จัดสอนระดับชั้นอนุบาล คือ โรงเรียนมาแตร์เดอี และ โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย แต่ก็ยังไม่ได้สอนเต็มรูปแบบ การจัดการศึกษาระดับอนุบาลของมาดามมอนเตสเซอรี่ เน้นเพียงการให้เด็กร้องเพลง เล่น และ แสดงภาพประกอบตัวอักษรเท่านั้น
ตลอดระยะเวลากว่า 68 ปี ที่โรงเรียนอนุบาล สาธิตละอออุทิศ ได้ก่อตั้งมาได้มีการพัฒนามาโดยตลอด จนกระทั่งเป็นโรงเรียนสาธิตละอออุทิศในปัจจุบัน ผ่านการพัฒนามาอย่าง ไม่หยุดนิ่งทั้งรูปแบบการบริหารจัดการ และวิชาการ จนเป็นต้นแบบของการจัดการศึกษาในระดับปฐมวัย รวมทั้งเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต
ซึ่งในท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงของการศึกษาโลกที่ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาเด็กปฐมวัยมากขึ้น ด้วยเหตุผลที่ว่า หากเด็กได้รับการพัฒนาให้มีพัฒนาการอย่างสมดุล ในทุกด้านจะเป็นการนำไปสู่ การพัฒนาคุณภาพมนุษย์ที่ยั่งยืน และป้องกันปัญหาสังคมได้ในระยะยาว
โรงเรียนสาธิตละอออุทิศซึ่งตระหนักในความสำคัญส่วนนี้  จึงมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาคุณภาพการศึกษาเพื่อให้เด็กปฐมวัย สามารถพัฒนาตนเองอย่างสมดุลในทุกด้าน โดยเฉพาะการปลูกฝังให้เป็นผู้มีคุณธรรมและจริยธรรมสามารถอยู่ร่วมในสังคม ได้อย่างมีความสุข 
ขณะเดียวกัน โรงเรียนสาธิตละอออุทิศก็ยังเพิ่มประสิทธิภาพด้านการบริหารจัดการของโรงเรียนให้มากยิ่งขึ้นเพื่อรักษา ความเป็นต้นแบบ การศึกษาปฐมวัย ที่จะสามารถเป็นแหล่งเรียนรู้แก่สถานศึกษาระดับปฐมวัยอื่นๆ ในการเข้ามาศึกษาและ ให้เป็นแนวทางการพัฒนาที่เหมาะสมกับสถานศึกษานั้นๆ   อันจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาการศึกษาเด็กปฐมวัย
ในระดับภาพกว้างที่ขยายออกไป 
ซึ่งทั้งหมดนี้ก็คือ พัฒนาการและความคาดหวังของโรงเรียนสาธิตละอออุทิศ ที่จะยังคงรักษาเจตนารมณ์ของการก่อตั้ง โรงเรียนอนุบาลของรัฐ เมื่อ 68 ปีก่อน ขณะเดียวกันก็มีการพัฒนาการศึกษา ให้มีความทันสมัย มีคุณภาพและมาตรฐานที่สอดคล้องกับกระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกเพื่อการปูพื้นฐานของการพัฒนาเด็กไทย ให้เป็นคนดีและคนเก่งของประเทศต่อไป

กลุ่มที่2 โรงเรียนแสนสุข



ระดับที่เปิดสอน
-  ระดับเนอสเซอรี่ อายุ 1.10 ปี -2 ปี
-  อนุบาล  อายุ 3-5 ปี
-  ประถมศึกษา
-  มัธยมศึกษาตอนต้น
-  มัธยมศึกษาตอนปลาย
ระยะเวลาเรียน
ใน 1 ปีการศึกษามี 2 ภาคเรียน คือภาคต้น เดือนพฤษภาคม – เดือนกันยายน
ภาคปลาย เดือนพฤศจิกายน – เดือนมีนาคม
เวลาเรียนระหว่าง เวลา 08.00 น. – 16.00 น. วันจันทร์ – ศุกร์
** สำหรับช่วงปิดภาคเรียน จะมีการเปิดสอนเสริม ดังนี้
ช่วงปิดเทอมต้น เดือนตุลาคม
October Course
ช่วงปิดเทอมปลาย เดือนเมษายน
Summer Course
กลุ่มที่3 Brain school

 

รู้จักเบรนสคูล
-    Brainschoolเป็นหลักสูตรพัฒนาทักษะการคิดเชิงเหตุผล (Critical Thinking)และการคิดเชิงสร้างสรรค์ (Creative Thinking) สำหรับเด็กอายุ 1-8ปี
-    Brainschool เน้นการเรียนรู้แบบบูรณาการ มุ่งสร้างความก้าวหน้าทางพัฒนาการเด็กในทุกด้านได้แก่ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษา และสังคมวิทยาศาสตร์
-    Brainschool สอนผ่านกิจกรรมกว่า2,000กิจกรรมที่ได้รับการวิจัยจากนักวิชาการทางด้านเด็กเล็กกว่า40ท่านทำให้มีความต่อเนื่อง เป็นระบบ และได้ผลจริง
-    ครูผู้สอนทุกท่านได้รับการฝึกอบรมหลักสูตร Creative Teaching Method จาก Hansol Education ทำให้มีความเข้าใจในบทเรียนและมีจิตวิทยาในการสอนเด็กเป็นอย่างดี
จุดเด่น
หลักสูตรการเรียนการสอนที่ได้รับการค้นคว้าและวิจัยว่าเหมาะสมกับพัฒนาการทางการคิดของเด็กแต่ละช่วงวัย
กิจกรรมที่หลากหลายกว่า2,000กิจกรรมที่มีความต่อเนื่องกันอย่างเป็นระบบ
สื่อการเรียนการสอนของจริงที่เป็นรูปธรรมซึ่งทำให้เด็กในวัยนี้เรียนรู้ได้ง่ายขึ้น
วิธีการสอนที่เป็นแบบฉบับเฉพาะของเบรนสคูลที่เปิดโอกาสให้เด็กๆได้แสดงศักยภาพทางการคิดอย่างเต็มที่
ครูผู้สอนที่ผ่านการฝึกอบรมและมีจิตวิทยาในการสอนอย่างแท้จริง
การแบ่งกลุ่มย่อยตามพัฒนาการของเด็กโดยเด็กในแต่ละกลุ่มจะมีอายุห่างกันไม่เกินหกเดือน
การเรียนการสอนกลุ่มเล็กกลุ่มละเพียง4-6คนเพื่อให้การเรียนรู้เป็นไปได้อย่างทั่วถึง
มีการให้ข้อมูลหลังการสอนอย่างเป็นระบบ

กลุ่มที่4 บ้านคุณปู่ เนอสเซอรี่



สถานรับเลี้ยงเด็ก บ้านคุณปู่ เนอสเซอรี่ ให้บริการเนอสเซอรี่และรับเลี้ยงเด็กแรกเกิด ถึงก่อนวัย
เรียน เราเน้นการให้ความรักความอบอุ่น จากการกอดการสัมผัสกับเด็กซึ่งเด็กเล็กจะสัมผัสได้ถึง ความ
รักอย่างรวดเร็ว บ้านคุณปู่ เนอสเซอรี่ ใช้ระบบการดูแลและพัฒนาเด็กเล็กโดยเน้นการใช้กิจกรรมเสริม
ทักษะในด้านต่างๆโดยเฉพาะกิจกรรมด้านศิลปะที่จะช่วยพัฒนาสมองของเด็ก อีกทั้งยังมีเครื่องเล่นที่ทัน
สมัย ปลอดภัยและสามารถพัฒนาทักษะและเสริมสร้างพัฒนาการของเด็กๆได้อย่างต่อเนื่องสมวัย
      โดยบ้านคุณปู่เนอสเซอรี่ เน้นเรื่องของการเตรียมความพร้อมของเด็กก่อนวัยเรียน ซึ่่งเด็กๆแต่ละคน
ก็จะมีความพร้อม ความถนัด ความสนใจ ความชอบ หรือแม้แต่ความมีสมาธิ ที่จะเรียนรู้ในเรื่องต่างๆ
ที่แตกต่างกัน ดังนั้นเรามีหน้าที่ที่จะฝึกฝนเด็กๆให้มีความพร้อมในทุกๆเรื่องก่อนที่เด็กๆจะต้องเข้าไป
ศึกษาในสถานศึกษาในระดับสูงต่อไป
     รูปแบบการเรียนการสอน
     ทั้งนี้เด็กๆจะได้มีส่วนร่วมและสนอความคิดในเรื่องต่างๆและได้ร่วมเสริมสร้างจินตนาการผ่านการทำ
ศิลปะและ สิ่งประดิษฐ์ เพื่อเสริมสร้างจินตนาการและการต่อยอดทางความคิด ความกล้าแสดงออกเรามี
ห้องยิมที่ปลอดภัยสำหรับเด็กๆเพื่อฝึกพัฒนาการของกล้ามเนื้อ แขน ขา ของเด็กๆ อย่างเต็มที่ ทั้งนี้
เด็กๆยังได้ฝึกการอยู่ร่วมกับผู้อื่น การแบ่งปัน การฝึกให้พี่ที่โตกว่าได้ช่วยเหลือเด็กๆหรือน้องๆที่เด็กหรือ
เล็กกว่า โดยเด็กๆจะได้เรียนรู้อย่างสนุกสนานโดยไม่รู้สึกเบื่อหน่ายและพร้อมที่จะเรียนรู้อยู่เสมอ

กลุ่มที่5 ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทศบาลร้อยเอ็ด



ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด ประสบผลสำเร็จจัดการสอนแบบมอนเตสซอรี่ จากสถานศึกษาต้นแบบ โรงเรียนอนุบาลกรแก้ว กทม. ได้รับรางวัลศูนย์พัฒนาเด็กเล็กดีเด่นขนาดใหญ่ ของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และรางวัลศูนย์ต้นแบบของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นระดับประเทศตามโครงการของ สสส. 1 ใน 14 แห่งทั่วประเทศ ประจำปีการศึกษา 2552
            การจัดการเรียนรู้ หลักสูตรของการสอนแบบมอนเตสซอรี่ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มคือ กิจกรรมในกลุ่มประสบการณ์ชีวิต มีวัตถุประสงค์ในการฝึกเด็กให้มีระเบียบวินัย มีสมาธิเป็นของตัวเอง สามารถตัดสินเองได้ เรียนรู้กระบวนการตั้งแต่ต้นจนจบ ฝึกตา-มือ ประสานสัมพันธ์ เป็นการปูพื้นฐานในการเรียนต่อไป, กิจกรรมในกลุ่มประสาทสัมผัสชีวิต มีวัตถุประสงค์ในการฝึกประสาทสัมผัส อุปกรณ์ต่างๆ ในกลุ่มนี้ จะช่วยนำทางให้เด็กใช้ประสาทสัมผัสให้สัมผัสกันได้อย่างเหมาะสม เด็กจะได้สรวจเพื่อค้นหาและทำความเข้าใจกับสิ่งแวดล้อมรอบตัว เป็นเส้นทางสู่การเรียนรู้โลกภายนอก, และกิจกรรมกลุ่มวิชาการ (คณิตศาสตร์ และภาษา) เพื่อปูพื้นฐาน ความรู้ให้กับเด็กเกี่ยวกับจำนวน ตัวเลข การอ่าน และการเขียน โดยโกจะได้เรียนรู้ผ่านกระบวนการอย่างเป็นขั้นเป็นตอนจากรูปธรรมสู่นามธรรม โดยใช้อุปกรณ์ของมอนเตสซอรี่เป็นสื่อ ห้องเรียนมอนเตสซอรี่ จะจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ ในขณะเดียวกันเด็กจะรู้สึกสบายใจและรู้สึกเป็นธรรมชาติมากที่สุด อุปกรณ์จะไม่มีสีที่ฉูดฉาด และอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์สะอาด พร้อมนำออกมาปฏิบัติได้ตลอดเวลา
              การจัดห้องเรียน อาคารด้านหน้า เป็นเด็กเล็ก มี 2 ห้องเรียน คือห้องมอนเตสซอรี่ ห้องวัฒนธรรม ห้องกิจกรรมรวม และอาคารด้านหลัง มี 4 ห้อง คือห้องรับประทานอาหาร ห้องศิลปะ ห้องมอนเตสซอรี่ และห้องเสริมประสบการณ์
              ปัจจุบันศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด บุคลากรทั้งหมด 14 คน นักเรียนทั้งหมด 150 คน แยกเป็น 2 ช่วงอายุ คือ เด็กอายุระหว่าง 2 ปี 6 เดือน ถึง 3 ปี จำนวน 43 คน เด็กอายุระหว่าง 3 ปี ถึง 4 ปี จำนวน 107 คน มีเป้าหมายจะเปิดระดับอนุบาล 2 ช่วงอายุ 4-5 ปี 1 ห้อง จำนวน 20 คน ในปีการศึกษา 2553 นี้ มีนางศุภจารี วงศ์พรหม นักวิชาการศึกษา เป็นหัวหน้าศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด.
กลุ่มที่6 ศูนย์อบรมเด็กก่อนเกณฑ์วัดโปรดเกศเษฐาราม



ศูนย์อบรมเด็กก่อนเกณฑ์วัดโปรดเกศเชษฐาราม ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๓๖ ตามนโยบายของรัฐบาลสมัยนั้น โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะให้เด็กเล็กที่ยังอายุยังไม่ถึงเกณฑ์เข้าเรียน ได้เข้ามาใกล้ชิดกับพระศาสนาโดยมีพระและวัดเป็นผู้ดูแลจัดการ เพื่อปลูกฝังคุณธรรมเบื้องต้นให้กับเด็ก และรับเลี้ยงดูเด็กเพื่อให้ผู้ปกครองออกไปปประกอบอาชีพได้อย่างไม่ต้องมีห่วงกับบุตรธิดา เป็นการช่วยแบ่งเบาภาระผู้ปกครองได้อีกส่วนหนึ่ง
                ปีที่เปิดเรียน ได้ใช้ศาลาการเปรียญด้านนอกเป็นห้องเรียน มีนักเรียน ๒๕ คน ครู ๒ คน คือ นางอาภา โกวัฒนะชัยและนางคงทรัพย์ ชาวปทุม เป็นผู้ช่วย วัดเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายเป็นเงินเดือนครู และจัดซื้ออุปกรณ์การเรียนการสอน เช่นม้านั่ง โต๊ะเรียน เป็นต้น สำหรับอาหารกลางวัน นักเรียนต้องนำมาเอง อาหารนมยังไม่มีให้ เสื้อผ้าได้รับการช่วยเหลือจากผู้มีศรัทธาและใจบุญ ปีแรกนี้ รัฐบาลไม่ได้ให้ค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น
                การเปิดเรียนปีแรก นับว่าขลุกขลักมาก เพราะนอกจากจะเป็นของใหม่แล้ว ยังไม่มีผู้ชำนาญงานคอยให้คำแนะนำ การเรียนการสอนจึงเป็นสถานรับเลี้ยงเด็ก  (nursery) การเรียนก็ไม่สม่ำเสมอ เวลาวัดมีงานต้องใช้ศาลา โรงเรียนก็ต้องหยุดเรียน ที่นอนก็ใช้ผ้าปูกับพื้นศาลา
พ.ศ.๒๕๔๐ เป็นปีที่เศรษฐกิจของประเทศเกิดวิกฤติ การช่วยเหลือจากมูลนิธิฯงดหมดทุกรายการ ศูนย์ฯต้องดำเนินการจัดเก็บค่าบำรุงจากผู้ปกครองปีละ ๓,๐๐๐ บาท (สามพันบาทถ้วน) และสามารถที่จะแบ่งชำระได้เป็นรายเดือนหรือเป็นครั้งคราว รวมแล้วครบจำนวนเท่าที่กำหนด ถือว่าชำระครบแล้ว สำหรับชุดนักเรียนผู้ปกครองต้องซื้อเอง
                การดำเนินนโยบายขอรับการสนับสนุนจากผู้ปกครอง ทำให้การบริหารจัดการของศูนย์มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะมีเงินทุนที่จะจัดการบริหารทั้งด้านการเรียนการสอนและการจัดหาสื่ออุปกรณ์ที่ต้องการใช้ได้สะดวกขึ้น ทำให้ศูนย์สามารถพัฒนาได้ในทุก ๆ ด้าน ห้องเรียนเพิ่มเป็น ๖ ห้องเรียน ครูเพิ่มขึ้น เป็น ๑๓ คน
                พ.ศ.๒๕๔๖ ศูนย์ถ่ายโอนไปสังกัดองค์การบริหารส่วนตำบลทรงคนอง ครั้งแรก อ.บ.ต.ทรงคนองช่วยจ่ายเงินเดือนครูให้ส่วนหนึ่ง รวมทั้งค่าอาหารค่านม ปี ๒๕๕๐ อ.บ.ต.ทรงคนอง ถ่ายโอนครูไปสังกัดเป็นลูกจ้างของ อ.บ.ต.ทรงคนองทั้งหมด แต่ศูนย์ฯ ก็ยังจ่ายเงินเดือนอีกส่วนหนึ่งแก่ครูจากส่วนที่ขาดจาก อ.บ.ต.ให้
จากสถิติปีพ.ศ.๒๕๕๗ มีนักเรียน ๒๙๗ คน ครู ๑๖ คน
ความรู้ที่ได้รับ
        สถานศึกษามีหลากหลายรูปแบบที่เหมือนและแตกต่ากันออกไป ผู้บริหารควพัฒนาสถานศึกษาให้สอดคล้องกับวุตถุประสงค์ของแต่ละสถานศึกษา ให้ถูกต้องและเหมาะสม บางสถานศึกษาเน้นภาษาต่างประเทศ บางสถานศึกษาเน้นการเรียนการอยู่ร่วมกัน ซึ่งมีข้อดีเฉพาะของแต่ละแห่ง
ประเมินอาจารย์ : มีวิธีการอธิบายอย่างเข้าใจง่าย พร้อมยกตัวอย่างประกอบสถานการณ์
ประเมินเพื่อน : มีความพร้อมในการมาเรียน เข้าเรียนตรงเวลา แต่งกายเรียบร้อย
ประเมินตนเอง : ตั้งใจฟังขณะอาจารย์สอน และไม่คุยกับเพื่อนเสียงดังรบกวนอาจารย์และเพื่อนคนอื่น

























บันทึกการเรียน ครั้งที่3
วันพุธ ที่31 มกราคม 2561
เนื้อหา



บทบาทหน้าที่ของผู้บริหาร
บทบาทของผู้บริหาร ผู้นำในยุคโลกาภิวัตน์

     เมื่อกล่าวถึงผู้นำ คนส่วนใหญ่จะคิดถึงภาพของผู้ที่มีอำนาจ มีตำแหน่งใหญ่โต มีอิทธิพล ต่อผู้อื่น ผู้นำที่ยิ่งใหญ่สามารถสั่งการได้ หรือเดินตามในทิศทางที่ผู้นำก้าวเดินหรือกำหนดให้ ผู้คนเกรงกลัว

                นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันในการบริหาร ผู้นำยังคงเป็นความคาดหวังสูงสุดในการแบกรับภาระ นำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จ แต่ทว่า บทบาทผู้นำในยุคของพระนเรศวรมหาราชกับผู้นำของวันนี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะในโลกของธุรกิจ หากผู้นำคนใดยังผูกขาดการตัดสินใจ ไม่ยอมสร้างการมีส่วนร่วม ก็ยากที่จะนำพาองค์กรหรือประเทศอยู่รอดได้อย่างยั่งยืน และที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ ผู้นำยุคนี้ต้องทำงานเชิงรุกเพื่อสร้างความได้เปรียบอยู่เสมอ 

ความรู้เกี่ยวกับผู้นำ

ความหมายและประเภทของผู้นำ 

                ผู้นำ (Leader) หมายถึง บุคคลที่มีศิลป บุคลิกภาพ ความสามารถ เหนือบุคคลทั่วไป สามารถชักจูงให้ผู้อื่นปฏิบัติตามที่ต้องการได้ ส่วนความเป็นผู้นำ (Leadership) เป็นกระบวนการที่มีอิทธิพลต่อกลุ่ม เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ผู้บริหารทุกคนควรเป็นผู้นำ และมีภาวะผู้นำ แต่ผู้นำไม่สามารถเป็นผู้บริหารที่ดีได้ทุกคน เพราะผู้บริหารต้องมีทักษะ มีความสามารถในหน้าที่ของผู้บริหารด้วย

ประเภทของผู้นำ

1.     ผู้นำตามอำนาจหน้าที่ เป็นผู้นำโดยอาศัยอำนาจหน้าที่ (Authority) และมีอำนาจบารมี (Power) เป็นเครื่องมือ มีลักษณะที่เป็นทางการ (Formal) และไม่เป็นทางการ (Informal) เกิดพลังร่วมของกลุ่มในการดำเนินงานเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ อำนาจนี้ได้มาจาก กฎหมาย กฎระเบียบ หรือขนบธรรมเนียม ในการปฏิบัติ จำแนกผู้นำประเภทนี้ออกเป็น 3 แบบ คือ 1 ผู้นำแบบใช้พระเดช 2  ผู้นำแบบใช้พระคุณ  3  ผู้นำแบบพ่อพระ 

1.1   ผู้นำแบบใช้พระเดช  (Legal Leadership) ผู้นำแบบนี้เป็นผู้นำที่ได้อำนาจในการปกครองบังคับบัญชาตามกฎหมายมีอำนาจตามตำแหน่งหน้าที่ราชการมาหรือเกิดขึ้นจากตัวผู้นั้น หรือจากบุคลิกภาพของผู้นั้นเอง ผู้นำแบบนี้ได้แก่ผู้ดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ในกระทรวง ทบวง กรม เช่น รัฐมนตรี อธิบดี หัวหน้ากอง และหัวหน้าแผนก เป็นต้น

1.2   ผู้นำแบบใช้พระคุณ  (Charismatic Leadership) ผู้นำที่ได้อำนาจเกิดขึ้นจากบุคลิกภาพอันเป็นคุณสมบัติส่วนตัวของผู้นั้น มิใช่อำนาจที่เกิดขึ้นจากตำแหน่งหน้าที่ ความสำเร็จในการครองใจและชนะใจของผู้นำประเภทนี้ ได้มาจากแรงศรัทธาที่ก่อให้ผู้อยู่ใต้บังคับเกิดความเคารพนับถือและเป็นพลังที่จะช่วยผลักดันให้ร่วมจิตร่วมใจกัน ปฏิบัติตามคำสั่งแนะนำด้วยความเต็มใจ ตัวอย่างได้แก่ มหาตมะคันธี ซึ่งสามารถใช้ภาวะการเป็นผู้นำครองใจชาวอินเดียนับเป็นจำนวนล้าน ๆ คน ได้
1.3   ผู้นำแบบพ่อพระ  (Symbolic Leadership) ผู้นำที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายมิได้ใช้อำนาจหน้าที่ในการปกครองบังคับบัญชา บุคคลเหล่านั้นปฏิบัติตามเพราะเกิดแรงศรัทธา หรือสัญญาลักษณ์ในตัวของผู้นั้นมากกว่า เช่น พระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นองค์ประมุขและสัญลักษณ์ของแรงศรัทธาของประชาชนไทยทั้งมวล
      2.  ผู้นำตามการใช้อำนาจ 
      2.1 ผู้นำแบบเผด็จการ   (Autocratic Leadership) หรือ อัตนิยม คือใช้อำนาจต่าง ๆ ที่มีอยู่ในการสั่งการแบบเผด็จการโดยรวบอำนาจ ไม่ให้โอกาสแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น   ตั้งตัวเป็นผู้บงการให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเชื่อฟังโดยเด็ดขาด ปฏิบัติการแบบนี้เรียกว่า One Man Show อยู่ตลอดเวลาโดยไม่คำนึงถึงจิตใจของผู้ปฏิบัติงาน เช่น ฮิตเลอร์
      2.2  ผู้นำแบบเสรีนิยม (Laisser-Faire Leadership) หรือ Free-rein Leadership ผู้นำแบบนี้เกือบไม่มีลักษณะเป็นผู้นำเหลืออยู่เลย คือ ปล่อยให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชากระทำกิจการใด ๆ ก็ตามได้โดยเสรี ซึ่งการกระทำนั้นต้องไม่ขัดต่อกฎหมาย กฎระเบียบหรือข้อบังคับที่กำหนดไว้ และตนเป็นผู้ดูแลให้กิจการดำเนินไปได้โดยถูกต้องเท่านั้น มีการตรวจตราน้อยมากและไม่ค่อยให้ความช่วยเหลือในการดำเนินงานใด ๆ ทั้งสิ้น
      2.3  ผู้นำแบบประชาธิปไตย (Democratic Leadership) ผู้นำแบบนี้ เป็นผู้นำที่ประมวลเอาความคิดเห็น ข้อเสนอแนะจากคณะบุคคลที่อยู่ใต้บังคับบัญชาที่มาประชุมร่วมกัน อภิปรายแสดงความคิดเห็นในปัญหาต่าง ๆ เพื่อนำเอาความคิดที่ดีที่สุดมาใช้   ฉะนั้น   นโยบายและคำสั่งจึงมีลักษณะเป็นของบุคคลโดยเสียงข้างมาก
      3.  ผู้นำตามบทบาทที่แสดงออก 
จำแนกเป็น  3 แบบ คือ
      3.1  ผู้นำแบบบิดา-มารดา (Parental Leadership) ผู้นำแบบนี้ ปฏิบัติตนเหมือนพ่อ-แม่ คือทำตนเป็นพ่อแม่เห็น ผู้อื่นเป็นเด็ก อาจจะแสดงออกมาในบทบาทของพ่อแม่ที่อบอุ่น ใจดี ให้กำลังใจ   หรืออาจแสดงออกตรงกันข้ามในลักษณะการตำหนิติเตียนวิพากษ์   วิจารณ์   คาดโทษ   แสดงอำนาจ
      3.2  ผู้นำแบบนักการเมือง  (Manipulater Leadership) ผู้นำแบบนี้พยายามสะสมและใช้อำนาจ โดยอาศัยความรอบรู้และตำแหน่งหน้าที่การงานของคนอื่นมาแอบอ้างเพื่อให้ตนได้มีความสำคัญและเข้ากับสถานการณ์นั้น ๆ ได้ ผู้นำแบบนี้เข้าทำนองว่ายืมมือ ของผู้บังคับบัญชาของผู้นำแบบนี้อีกชั้นหนึ่ง  โดยเสนอขอให้สั่งการเพื่อประโยชน์แก่การสร้างอิทธิให้แก่ตนเอง
      3.3  ผู้นำแบบผู้เชี่ยวชาญ  (Expert Leadership) ผู้นำแบบนี้เกือบจะเรียกว่าไม่ได้เป็นผู้นำตามความหมายทางการบริหาร เพราะมีหน้าที่ให้คำปรึกษาแนะนำแก่ Staff  ผู้นำแบบนี้มักเป็นผู้เชี่ยวชาญและมีความรู้เฉพาะอย่าง เช่น คุณหมอพรทิพย์ มีความเชี่ยวชาญในการตรวจ DNAถ้าพิจารณาจากบุคลิกภาพอีริก เบิร์น จิตแพทย์ชาวอเมริกัน ได้วิเคราะห์โครงสร้างของบุคลิกภาพของคนว่ามีอยู่ 3 องค์ประกอบ  คือภาวะของความเป็นเด็ก (Child  egostate )  ภาวะของการเป็นผู้ใหญ่ (Adult egostate ) และภาวะของความเป็นผู้ปกครอง  (Parents  egostate)  ก็จะมองผู้นำได้เป็น 3 แบบ คือภาวะความเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ พ่อแม่ ในแบบผู้นำ
คุณสมบัติของผู้นำ
     ผู้ที่จะเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ได้ จะต้องเป็นมาตั้งแต่เกิด ไม่สามารถพัฒนาขึ้นมาภายหลังได้ (Leader are bone, not made)
                คุณสมบัติพื้นฐานที่ทำให้ผู้นำแตกต่างจากบุคคลทั่วไป
                1. ความมุ่งมั่น (drive)
                2. แรงจูงใจในการเป็นผู้นำ (Leadership Motivation)
                3. ความซื่อสัตย์ (Integrity)
                4. ความเฉลียวฉลาด (Intelligence)
                5. ความมั่นใจในตัวเอง (Self-confidence)
                6. ความรอบรู้ในสิ่งที่ตนเองทำ (Knowledge of the Business)
ภาวะผู้นำ (Leadership)
     ภาวะผู้นำ กระบวนการหรือพฤติกรรมการใช้อิทธิพลเพื่อควบคุม สั่งการ เกลี้ยกล่อม จูงใจ ให้ผู้ตามหรือกลุ่ม ปฏิบัติตามเพื่อการบรรลุเป้าหมาย หรือความเป็นผู้นำนั้นเอง คุณสมบัติของผู้นำมีหลายอย่าง หลายด้าน ผู้นำจะต้องมีความสามารถในการปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นให้ถูกต้องและได้ผลดี โดยมีองค์ประกอบดังนี้ 
1. ตัวผู้นำ                               
2. ผู้ตาม 
3. จุดหมาย                            
4. หลักการและวิธีการ 
5. สิ่งที่จะทำ                           
6. สถานการณ์ 
1. ผู้นำโดยกำเนิด ผู้นำประเภทนี้ เกิดมาก็มีคุณลักษณะบ่งบอกถึงความเป็นผู้นำ อาจสืบทอดโดยตำแหน่ง หรือโดยบุญบารมีที่ได้สั่งสมกันมาเป็นเวลานาน จึงทำให้บุคคลนั้น เป็นที่ยอมรับนับถือของบุคคลอื่น ท่านเหล่านี้จึงเป็นผู้นำโดยกำเนิด เช่น พระพุทธเจ้า พระเจ้าอยู่หัว
2. ผู้นำที่มีความอัจฉริยะ ผู้นำประเภทนี้เกิดขึ้นได้เพราะเป็นผู้มีความสามารถเป็นอัจฉริยะ โดยเฉพาะบุคคลในตอนเริ่มต้นของชีวิตในระยะแรก ๆ ก็เหมือนกับบุคคลทั่วไป แต่เนื่องจากเป็นผู้มีความเฉลียวฉลาด มีสติปัญญา ได้รับการศึกษาพัฒนาปรับตัวเข้าสู่การเป็นผู้นำ เช่น พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายธานินทร์ เจียรวนนท์ และนายบิลเกตต์
3. ผู้นำที่เกิดขึ้นตามสายงานบริหาร ผู้นำประเภทนี้เป็นผู้นำที่เกิดจากการได้รับการแต่งตั้งตามสายงานการบริหาร ผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ประสบความสำเร็จก็จะได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น เช่น อธิบดี ผู้อำนวยการ อธิการบดี หัวหน้าฝ่าย
4.  ผู้นำตามสถานการณ์ เป็นผู้นำที่เกิดขึ้นแบบมีทีมงานเป็นส่วนใหญ่ มีความใฝ่ใจสูง เน้นการบริหารงานให้ได้ทั้งคนและทั้งงาน สถานการณ์ที่เกิดขึ้นมีจุดมุ่งหมายร่วมกัน รู้จักหน้าที่ของตน ผู้นำประเภทนี้แสดงออกให้เกินถึงความเป็นผู้นำที่ต้องออกคำสั่ง การบังคับบัญชา การตัดสินใจ ผู้นำแบบนี้มักเป็นเพื่อนร่วมงาน เป็นครู เป็นผู้สอนแทน ผู้นำในการฝึกอบรม การประชุม 
ลักษณะและบทบาทของผู้นำ
       ผู้นำจะนำไปในทิศทางที่ถูกต้องเสมอ ดังนั้น คนที่เป็นผู้นำที่เข้มแข็ง ก็อาจจะไม่ใช่ผู้จัดการ หรือบริหารที่ดีได้ หรือผู้บริหาร-ผู้จัดการที่ดี ก็อาจไม่ใช่ผู้นำที่ดีก็ได้ ดังนั้น ถ้าเป็นไปได้ องค์การหนึ่งองค์การใดที่ต้องการประสบความสำเร็จ ก็ย่อมต้องการผู้บริหาร หรือผู้จัดการที่มีลักษณะเป็นผู้นำดังนี้
1. ต้องมีความฉลาด (Intelligence)
2. ต้องมีวุฒิภาวะทางสังคมและใจกว้าง (Social Maturity & Achievement Drive) 3. ต้องมีแรงจูงใจภายใน (Inner Motivation)
4. ต้องมีเจตคติที่ดีเกี่ยวกับมนุษยสัมพันธ์ (Human Relations Attitudes)
ลักษณะของผู้นำในทศวรรษหน้า  
1. เป็นผู้บริหารที่ไม่มากเกินไปในทางใดทางหนึ่ง คือ ไม่ใช่ผู้นำที่มุ่งแต่งานอย่างเดียว หรือมุ่งที่คนอย่างเดียว
2. ผู้บริหารเน้นการสร้างให้ผู้ปฏิบัติงานทุกคนมีความเป็นเลิศในทุกด้าน
3.  วิธีการแก้ปัญหาของผู้นำจะใช้ผู้ปฏิบัติงานแก้เอง
4.  ผู้นำจะมอบอำนาจ  จนพอที่ผู้ปฏิบัติงานสามารถใช้อำนาจนั้นให้งานสำเร็จในตัว
5.  ผู้นำเน้นคุณสมบัติของผู้ปฏิบัติงานที่สามารถทำงานเป็นทีมได้อย่างดี
ผู้นำยุคใหม่
คุณสมบัติของผู้นำตามอักษรแต่ละตัวในคำว่า LEADERSHIP มีความหมายบ่งชี้ถึงลักษณะต่างๆ ของผู้นำที่ดี ดังนี้
                1. L คือ Listen เป็นผู้ฟังที่ดี..
                2. E คือ Explain สามารถอธิบายสิ่งต่างๆ ให้เข้าใจได้..
                3. A คือ Assist ช่วยเหลือเมื่อควรช่วย…
                4. D คือ Discuss รู้จักแลกเปลี่ยนความคิดเห็น..
                5. E คือ Evaluation ประเมินผลการปฏิบัติงาน..
                6. R คือ Response แจ้งข้อมูลตอบกลับ…
                7. S คือ Salute ทักทายปราศรัย...
                8. H คือ Health มีสุขภาพดีทั้งกายและใจ..
                9. I คือ Inspire รู้จักกระตุ้นและให้กำลังใจลูกน้อง..
                10. P คือ Patient มีความอดทนเป็นเลิศนั่นเอง..
ความรู้เกี่ยวกับผู้บริหาร
     ผู้บริหาร หรือ ผู้จัดการ  เป็นสมาชิกในองค์กร  แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนที่ทำงานในองค์กรจะเป็นผู้บริหารทุกคน  สมาชิกในองค์กรขนาดใหญ่แบ่งเป็น 2 ประเภท   คือ ผู้ปฏิบัติงานกับผู้บริหาร ในองค์การนั้นผู้บริหารต่าง ๆ อาจมีชื่อเรียกต่าง ๆ กัน เช่น  ผู้บริหารระดับล่างมักจะใช้ชื่อว่า  Supervisor  ถ้าในโรงงานอุตสาหกรรมจะเรียกว่า  Foreman   (หัวหน้างาน)   ส่วนผู้บริหารระดับกลางก็จะมีชื่อเรียกต่าง ๆ กัน  เช่น  ผู้จัดการโรงงาน ผู้จัดการแผนก หัวหน้าหน่วย  คณบดี  ผู้บริหารระดับสูงขององค์กร  รับผิดชอบในด้านนโยบาย กลยุทธ์  และตัดสินใจนั้น  ได้แก่ รองประธาน ประธาน  ผู้อำนวยการ อธิการ ประธานบอร์ด CEO
ผู้บริหารแบ่งออกเป็น 5 ประเภท คือ
                1.  ผู้บริหารทำหน้าที่สั่งการ  (Line Manager) 
                2.  ผู้บริหารทำหน้าที่ให้คำแนะนำ  (Staff  Manager) 
                3.  ผู้บริหารทำหน้าที่สั่งการเฉพาะด้าน  (Functional Manager) 
                4.  ผู้บริหารทั่วไป  (General Manager) 
                5.  ผู้บริหาร (Administrator) 
คุณลักษณะของผู้บริหาร
นักบริหารมืออาชีพได้สรุปคุณลักษณะดังนี้ 
             1.  Vision   เป็นผู้มีวิสัยทัศน์
             2.   Charisma   เป็นผู้มีเสน่ห์  มีแรงดึงดูด  สร้างความเชื่อให้คนเกิดความศรัทธา คล้อยตามได้
             3.  Integrity   มีความเป็นปึกแผ่น  เหนียวแน่น
             4.  Self – Less   ทำอะไรไม่นึกถึงตนเองแต่คำนึงถึงส่วนรวม
             5.  Courage       มีความกล้าหาญ
             6.  Uncompromising   ไม่ยอมอ่อนในเรื่องบางเรื่อง
             7.  High   Ground    ความมีมาตรฐานในตัวเองมีความซื่อสัตย์   และมีความโปร่งใสสูง
             8.  Listening   รู้จักฟัง
             9.  Fairness    มีความยุติธรรมเที่ยงธรรม
             10.  Sense     of   Time มีสติ   รู้ทันเหตุการณ์ว่าต้องทำอะไร
             11.  Know   Others Know   Oneself    เข้าใจคนอื่นและเข้าใจตนเอง หรือรู้เขารู้เรา
             12.  Judgment   ยุติธรรม
             13.  Inspiring    มีความมุ่งมั่น
             14.  Faith    มีความเชื่อมั่น   ศรัทธา

             15.  Institutional    มีความเป็นองค์กรนั้น

ระดับผู้บริหารและอำนาจหน้าที่

        ผู้บริหารและการบริหารทุกระดับ ใช้ทักษะ (Skill)  อย่างเดียวกันแต่ใช้สัดส่วนที่ต่างกัน ยิ่งขึ้นไปสู่ระดับบริหารที่สูงขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งต้องการข้อมูล เพื่อการตัดสินใจ และการใช้ทรัพยาการที่หลีกเลี่ยงในอนาคตมากขึ้น ดังนั้น ควรทำความเข้าใจอำนาจหน้าที่

 1.  ผู้บริหารหรือหัวหน้างานระดับต้น First – Line Manager

                 ทำหน้าที่ตรวจสอบควบคุมงานเท่านั้นจัดการงานเท่าที่ได้รับคำสั่งให้ทำ จึงไม่ถึงขีดขั้นที่จะเข้าระดับ “ผู้จัดการ” โดยปกติจะมีชื่อเรียกต่าง ๆ กัน เช่น หัวหน้างาน (Foreman) ผู้ตรวจงาน หรือผู้ควบคุมงาน (Supervisor) หรือหัวหน้าแผนก (Section Chief) ซึ่งมีอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบ ดังนี้

2.  ผู้บริหารระดับกลาง  (Middle Managers) 

                ได้แก่ตำแหน่ง ผู้จัดการโรงงาน   ผู้จัดการฝ่ายผลิต หัวหน้าวิศวกร ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติกร ผู้จัดการฝ่ายการตลาด ฯลฯดังนั้นอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้บริหารระดับกลาง Middle Management มีดังนี้

                1.  วางแผนระยะกลาง  เพื่อสอดคล้องรองรับกับแผนระยะยาวขององค์การที่ได้วางไว้โดยผู้บริหารระดับสูง 
                2.  กำหนดนโยบายของแต่ละฝ่ายงาน 
                3.  วัดและประเมินผลงานของผู้ใต้บังคับบัญชา  และหัวหน้างานทั้งหลายในสายงานของตน 
                4.  แจกจ่ายมอบหมายงาน  ประสานงาน  และตรวจสอบควบคุมเพื่อให้งานเป็นไปตามแผนงานระยะสั้นของหัวหน้าระดับต้น  ดำเนินไปโดยราบรื่นสอดคล้องกับแผนระยะกลางและระยะยาว 
3.  ผู้บริหารระดับสูง (Top Managers)  
                   ได้แก่  ตำแหน่ง  ประธานกรรมการบริษัท  ประธานบริษัท  ผู้บริหารระดับสูงหรือรองประธาน  ผู้อำนวยการหรือผู้ช่วยผู้อำนวยการ  หรือ  รวมถึง ตำแหน่งผู้ว่าการ  เลขาธิการ  อธิบดี  ปลัดกระทรวง  เป็นต้นมีหน้าที่และความรับผิดชอบ การจัดการระดับสูง  (Top Management) หรือการบริหารระดับสูง (Top Executive) งานที่ทำได้แก่
                -  พิจารณาและทบทวนแผนกลยุทธ์  แผนระยะยาว 
                -  ประเมินผลการปฏิบัติงานของแผนงานหลักต่าง ๆ 
                -  ประเมินเจ้าหน้าที่ชั้นบริหาร  และเตรียมการคัดเลือกนักบริหารตำแหน่งสำคัญ 
                -  ปรึกษาหารือกับผู้บริหารระดับรองลงไปในเรื่องราวและปัญหาสำคัญต่าง ๆ 

ภาระหน้าที่และลักษณะงานของผู้บริหาร
     หน้าที่ของผู้บริหาร (Management Functions) เป็นกิจกรรมที่ก่อให้เกิดกระบวนการจัดการ              
                Henri Fayol นักอุตสาหกรรมชาวฝรั่งเศส ในต้นศตรรษที่ 19 ได้เสนอหน้าที่ของผู้บริหารดังนี้ (POCCC)
1. Planning (การวางแผน) 
2. Organizing (การจัดองค์การ) 
3. Commanding (การสั่งการ) 
4. Coordinating (การประสานงาน) 
5. Controlling (การควบคุม) 
การวางแผน (Planning)  เป็นการกำหนดเป้าหมาย กลยุทธ์ต่าง ๆ และจัดทำแผนงานเพื่อประสานกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะกระทำในอนาคต เป็นการเตรียมการเพื่อให้ประสบความสำเร็จ ลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
การจัดองค์การ  (Organizing) เป็นการพิจารณาถึงงานที่จะต้องกระทำ ใครเป็นผู้ทำงานนั้น ๆ ต้องมีการจัดกลุ่มงานอย่างไร ใครต้องรายงานใคร และใครเป็นผู้ตัดสินใจ นั่นคือการมอบหมายหน้าที่ความรับผิดชอบ กำหนดสายการบังคับบัญชา 
การชักนำ  (Leading)  เป็นการนำและจูงใจผู้ใต้บังคับบัญชา การสั่งการ การเลือกช่องทางการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด และการขจัดความขัดแย้ง หรือเป็นการกระตุ้นให้พนักงานใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ ที่จะทำให้เกิดความสำเร็จ รวมทั้งแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น 
การควบคุม  (Controlling)  เป็นการตรวจสอบกิจกรรมต่าง ๆ ที่ได้กระทำไว้ เพื่อให้แน่ใจว่าการดำเนินงานได้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ รวมทั้งแก้ไขข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นให้ถูกต้องอีกด้วย 
บทบาททางการบริหาร (Management Roles)
              Henry Mintberg ได้ทำการศึกษาวิจัยพบว่าบทบาทของผู้บริหารที่สำคัญมี 10 อย่างประกอบด้วย 3 กลุ่มหลัก ซึ่งมีความสัมพันธ์ต่อกันอย่างมากบทบาท คือ
1.  บทบาทด้านมนุษย์สัมพันธ์  (Interpersonal  roles) ได้แก่ 
                - ประธาน (Figurehead) เป็นบทบาทในการเป็นตัวแทน องค์กร  เป็นหัวหน้าในการปฏิบัติภารกิจประจำวันตามลักษณะทางสังคมและกฎหมาย เช่น อบรมสัมมนาต้อนรับลูกค้า หรือเป็นการสวมหัวโขนนั่นเอง
                - ผู้นำ  (Leadership)  เป็นบทบาทที่ต้องรับผิดชอบในการจูงใจและชี้นำผู้ใต้บังคับบัญชา ให้ทำงานอย่างเต็มความสามารถ
                - ผู้เชื่อมสัมพันธ์ไมตรี (Liasson) เป็นบทบาทในการสร้างและรักษาความสัมพันธ์กับองค์การภายนอก การสร้างเครือข่ายต่าง ๆ สร้างไมตรี ผูกมิตรอันดีกับบุคคลหรือกลุ่มต่าง ๆ ที่มีความสำคัญต่อองค์การ
2.  บทบาทด้านข่าวสาร (Informational roles) ได้แก่ 
- ผู้แสวงหาข้อมูลข่าวสาร (Monitor) 
- ผู้กระจายข้อมูลข่าวสาร (Disseminator) 
-  โฆษก  ประชาสัมพันธ์  (Spokesperson) 
3.  บทบาทด้านการตัดสินใจ  (Decision roles) ได้แก่
-   ผู้ประกอบการ  (Entrepreneur) 
-   ผู้ขจัดความขัดแย้ง  (Disturbance Handler) 
-   ผู้จัดสรรทรัพยากร  (Resource Allocate) 
-   ผู้เจรจาต่อรอง  (Negotiator) 
ทักษะของผู้บริหาร
        Robert L. Katz ได้เสนอว่าทักษะของผู้บริหารที่สำคัญมี 3 อย่าง คือ
       1)  ทักษะด้านเทคนิค   (Technical Skills)
       2)ทักษะด้านมนุษย์สัมพันธ์  (Human Skills) 
       3)   ทักษะด้านการประสมแนวความคิด  (Conceptual Skill)


การนำเสนอคำคม โดย นางสาววรัญญา ศรีดาวฤกษ์


การนำเสนอคำคม โดย นางสาวประภาภรณ์ สายเนตร


การนำเสนอคำคม โดย นางสาวอันทิรา จำปาเกตุ



ความรู้ที่ได้รับ
        ผู้บริหารที่ดีควรมีคุณสมบัติของผู้นำควบคู่ไปด้วย มีภาวะผู้นำ   มีศิลปะในการครองใจคน   มีเมตตาธรรม   ไม่มีอคติ  หรือ ฉันทคติ
ประเมินอาจารย์ : มีวิธีการอธิบายอย่างเข้าใจง่าย พร้อมยกตัวอย่างประกอบสถานการณ์
ประเมินเพื่อน : มีความพร้อมในการมาเรียน เข้าเรียนตรงเวลา แต่งกายเรียบร้อย
ประเมินตนเอง : ตั้งใจฟังขณะอาจารย์สอน และไม่คุยกับเพื่อนเสียงดังรบกวนอาจารย์และเพื่อนคนอื่น

















บันทึกการเรียน ครั้งที่14 วันพุธ ที่25 เมษายน 2561 เนื้อหา การนำเสนอคำคมทางการบริการคุณลักษณะของผู้นำที่ดี โดย นางสาวภัสสร คล้าย...