บันทึกการเรียนรู้ ครั้งที่12
วันพฤหัสบดี ที่29 มีนาคม 2561

ศึกษาดูงานการบริหารจัดการสถานศึกษาศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนพิทักษา


ทางศูนย์ได้ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี 

ได้เห็นเด็กๆกำลังทำกิจกรรมหน้าเสาธง การมีผู้นำนักเรียนอยู่ด้านหน้าแถว เพื่อนำเพื่อนๆทำกิจกรรม เช่น ร้องเพลงชาติ สวดมนต์ แผ่เมตตา เต้น ร้องเพลง เป็นต้น

ได้ร่วมทำกิจกรรมกับเด็กๆ ในรูปคือกิจกรรมทำท่าประกอบเพลง

          จากนั้นคุณครูก็ได้นำนักศึกษาไปยังห้องประชุมอีกครั้ง เพื่อให้ข้อมูล อธิบายรายละเอียดต่างๆ ในการบริหารจัดการสถานศึกษา และในด้านอื่นๆอย่างละเอียด
การจัดการเรียนการสอน
   ศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนพิทักษา มีความมุ่งมั่นปลูกฝังความเป็นผู้นำที่มีจริยธรรมอันดีงาม  พัฒนาความพร้อมในด้านร่างกาย อารมณ์-จิตใจ สังคมและสติปัญญาของเด็กให้เหมาะสมตามวัย  ฝึกให้เด็กสามารถคิด วิเคราะห์แก้ปัญหา และกล้ายอมรับผิดได้อย่างเหมาะสมตามวัย โดยผ่านบทบาทสมมุติ อีกทั้งอยู่ในสังคมอย่างมีความสุขผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ที่เด็กได้ลงมือทำด้วยตนเองมีครูเป็นผู้คอยช่วยเหลือให้คำแนะนำ โดยแบ่งนักเรียนเป็น ระดับชั้น ดังนี้

ระดับเตรียมพร้อม
    นักเรียนสามารถช่วยเหลือตนเองเกี่ยวกับกิจวัตรประจำวัน สามารถสื่อความหมายสั้นๆ ง่ายๆ และอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข
ระดับอนุบาล 1
    พัฒนาความพร้อมทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคมและสติปัญญาตามวัย พัฒนาความพร้อมของกล้ามเนื้อเล็กและกล้ามเนื้อใหญ่ประสานสัมพันธ์ระหว่างมือกับตา สร้างระเบียบวินัยการอยู่ร่วมกันในสังคม การช่วยเหลือตนเอง
ระดับอนุบาล 2
    เสริมสร้างระเบียบวินัยการอยู่ร่วมกันในสังคม กิริยามารยาทที่ดีงาม การช่วยเหลือตนเอง และเตรียมความพร้อมด้านวิชาการ
ระดับอนุบาล 3
    ปลูกฝังความเป็นผู้นำที่มีจริยธรรมอันดีงาม ส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวิชาการเพื่อพร้อมเข้าเรียนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1



ประวัติศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนพิทักษา
          สำนักงานอนามัยกรุงเทพมหานครได้จัดการอบรมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำชุมชนวัดอมรทายิการามขึ้น หลังจากนั้นกลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขได้สำรวจปัญหาในชุมชนพบว่า มีปัญหา 2 ประการ คือ ปัญหายาเสพติด และปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพเด็ก  กลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขจึงตัดสินใจเลือกแก้ปัญหาสุขภาพเด็ก โดยจัดตั้ง “ศูนย์รับเลี้ยงเด็กก่อนวัยเรียนพิทักษาโดยขอความอนุเคราะห์เรื่องสถานที่จาก ท่านพระครูวิบูลธรรมภาณ เจ้าอาวาสวัดอมรทายิการาม  เริ่มแรกท่านให้ใช้กุฏิเก่าของท่าน มีจำนวนเด็ก 40-50 คน มีอาสาสมัครผู้ดูแลเด็ก 4 คน ต่อมากุฏิเก่าเริ่มชำรุดทรุดโทรม ไม่สามารถซ่อมแซมได้ ท่านเจ้าอาวาสจึงอนุญาตให้สร้างอาคารหลังใหม่ เป็นอาคารชั้นเดียว โดยมีคณะสงฆ์ ครูและผู้ปกครองร่วมกันก่อสร้าง ได้รับการสนับสนุนทุนสร้าง จากสำนักงานเขตบางกอกน้อย ผู้ปกครองนักเรียน คณะครู และได้เปลี่ยนชื่อเป็น ศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนพิทักษา” เปิดเป็นทางการเมื่อวันที่  11 ตุลาคม  พ.ศ. 2527 ในปี พ.ศ.2530 ได้เปิดอย่างเป็นทางการ สภาสตรีแห่งชาติและสภาสังคมสงเคราะห์ได้ส่งอาสาสมัครเข้ารับการอบรมเสริมทักษะด้านการเลี้ยงดูเด็ก และอาหารเสริม  ต่อมา ได้เข้าสังกัด กองสังคมสงเคราะห์ กรุงเทพมหานคร ได้รับค่าตอบแทนวันละ 40 บาท อาสาสมัครจำนวน 4 คน ในปี พ.ศ.2536 กองพัฒนาชุมชนได้รับช่วงต่อมา  ให้การสนับสนุนโดยขึ้นค่าตอบแทน  80บาทต่อวัน  ทำงานและส่งเสริมพัฒนาอาสาสมัครผู้ดูแลเด็ก ในเรื่องการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้เด็กแรกเริ่มอาสาสมัครผู้ดูแลเด็กมีวุฒิการศึกษา ปวช., ม.6, ม.3 เข้ามาทำงานด้วยใจรักเด็ก ไม่หวังค่าตอบแทน  ต่อมาได้ศึกษาต่อด้วยทุนตนเอง จนจบอนุปริญญา และปริญญาตรี เป็นการศึกษาเพื่อพัฒนาตนเองและนำความรู้ใหม่ ๆ มาสอนเด็ก ส่วนพวกไม่มีทุนเรียนจะได้รับการอบรมในองค์กรต่าง ๆ  จากนั้นสำนักพัฒนาสังคม กรุงเทพมหานคร ได้สนับสนุนค่าตอบแทน เพิ่มเป็น 5,640 บาทและทำประกันสังคมให้ 
                ปัจจุบันมีนักเรียนอายุ  2 – 6 ปี  จำนวน 400-500 คน มีอาสาสมัครดูแลเด็กจำนวน  35 คน ได้สร้างอาคารเรียนเพิ่มเป็นอาคารเรียนเป็น 3 ชั้น  และใช้หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย 2546  จัดกิจกรรมให้นักเรียนได้มีพัฒนาการครบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านการเรียนการสอน ด้านสภาพแวดล้อมให้เจริญตามลำดับมีอาสาสมัครชาวต่างชาติจาก หน่วยงานCross-Cultural Solutions (CCS) องค์กรอาสาสมัครนานาชาติ จดทะเบียนที่กรุงนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้จัดส่งอาสาสมัครชาวต่างชาติมาช่วยสอนภาษาอังกฤษ ทำให้ศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนพิทักษาเป็นที่รู้จักและทำให้เป็นที่ยอมรับของผู้ปกครอง

        จากนั้นคุณครูได้พานักศึกษาชมห้องเรียนแต่ละห้องและห้องสมุด ซึ่งแต่ละห้องมีการออกแบบการจัดสถานที่ได้คุ้มค่าและเหมาะสมแก่การเรียนรู้ของเด็กมาก สภาพแวดล้อมโรงเรียนก็เช่นเดียวกัน ทุกบริเวณจัดว่าเป็นมุมที่เอื้อแก่การเรียนรู้ของเด็กทั้งหมด



สื่อการเรียนรู้จะเป็นแบบทำมือเองทั้งหมด 



เด็กๆกำลังรับประทานอาหาร ซึ่งจะหมุนเวียนแต่ละระดับชั้น

ขอขอบพระคุณอาจารย์กฤษตฤณ ตุ๊หมาด
ที่พาพวกเราไปศึกษาดูงานการบริหารจัดการสถานศึกษาในครั้งนี้

ขอขอบพระคุณศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนพิทักษา
ที่ได้ให้ข้อมูลสาระดีดีที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการสถานศึกษา และการจัดการเรียนการสอนภายในสถานศึกษาของท่าน ซึ่งมีรูปแบบที่ดีและเหมาะสมต่อพัฒนาการของเด็ก เพื่อนำไปปรับใช้ในการเรียนต่อไป





บันทึกการเรียนรู้ ครั้งที่11
วันพุธ ที่28 มีนาคม 2561

เนื้อหา
การนำเสนอคำคมทางการบริการคุณลักษณะของผู้นำที่ดี
โดย นางสาวประวีณา หงสุด

การนำเสนอคำคมทางการบริการคุณลักษณะของผู้นำที่ดี
โดย นางสาววิจิตรา เสริมกลิ่น

การนำเสนอคำคมทางการบริการคุณลักษณะของผู้นำที่ดี
โดย นางสาวสาวิตรี จันทร์สิงห์

การนำเสนอการสัมภาษณ์ผู้บริหารสถานศึกษา เรื่องการจัดการบริหารสถานศึกษาระดับปฐมวัย
กลุ่มที่1 โรงเรียนวัดไตรรัตนาราม ชื่นชูใจราษฎร์อุทิศ

กลุ่มที่2 โรงเรียนวัดนวลจันทร์

กลุ่มที่3 โรงเรียนวัดอุทัยธาราม
           ความรู้ที่ได้รับ
     สภาพบริบทของแต่ละโรงเรียนต่างกัน
การบริหารจัดการสถานศึกษามีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป แต่ส่วนมากแล้วนั้นใช้หลักการร่วมมือกันในการทำงาน การนิเทศน์ติดตามแบบเพื่อนช่วยเพื่อน 

ประเมินอาจารย์  อาจารย์ให้ข้อมูลและคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้แนวคิดในการบริหารจัดการสถานศึกษา
ประเมินเพื่อน ทุกคนตั้งใจฟังการนำเสนองานของเพื่อนเป็นอย่างดี และแต่งกายเรียบร้อยเข้าเรียน
ประเมินตนเอง เข้าเรียนตรงต่อเวลา และแต่งกายเรียบร้อย ตั้งใจเรียนและให้ความร่วมมืออาจารย์ผู้
สอน





บันทึกการเรียนรู้ ครั้งที่10
วันพุธ มีนาคม 2561
เนื้อหา
  การนำเสนอคำคมทางการบริการคุณลักษณะของผู้นำที่ดี
โดย นางสาวพรชนก ไตรวงษ์ตุ้ม

  การนำเสนอคำคมทางการบริการคุณลักษณะของผู้นำที่ดี
โดย นางสาวศิริพร ขมิ้นแก้ว

  การนำเสนอคำคมทางการบริการคุณลักษณะของผู้นำที่ดี
โดย นางสาวธณภรณ์ บุญใสยัง

เทคนิคการเสริมสร้างบุคลิกภาพที่ดีสำหรับการเป็นผู้บริหาร
    ความหมายของบุคลิกภาพ
ลักษณะทั้งภายนอกและภายในที่รวมอยู่ในตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่งและเป็นผลทำให้บุคคลนั้น มีความแตกต่างไปจากบุคคลอื่น ๆ บุคลิกภาพแบ่งออกเป็น 2 สภาพ ด้วยกันคือ
            บุคลิกภาพภายนอก สามารถสังเกตเห็นหรือสัมผัสได้ด้วยประสาททั้ง 5 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้โดยการฝึกเลียนแบบ และสามารถวัดผลได้ทันที บุคลิกภาพภายนอกที่สำคัญที่สุด คือ บุคลิกภาพทางกายและวาจา
            บุคลิกภาพภายใน หมายถึง บุคลิกภาพที่ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน เป็นส่วนที่สัมผัสได้ค่อนข้างยากและต้องใช้เวลาในการสัมผัส
     ประเภทของบุคลิกภาพ
บุคลิกภาพภายนอก  คือ  สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนจากภายนอกของแต่ละคนสามารถที่จะปรับปรุงแก้ไขได้ง่าย ใช้เวลาไม่นาน แบ่งได้เป็น 4 หมวด คือ
            1.  รูปร่างหน้าตา
            2. 
การแต่งกาย
            3. 
กิริยาท่าทาง
            4. 
การพูด
บุคลิกภาพภายใน  คือ สิ่งที่อยู่ภายในจิตใจ หรืออุปนิสัยใจคอที่มองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้  แก้ไขได้ยาก  เช่น
1.
ความเชื่อมั่นในตนเอง                
2. ความกระตือรือร้น
3. ความรอบรู้                          
4. ความคิดริเริ่ม
5. ความจริงใจ                         
6. ไหวพริบปฏิภาณ
7. ความรับผิดชอบ                         
8. ความจำ
9. อารมณ์ขัน
สาเหตุที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพ คือความท้อถอย
บุคลิกภาพที่ไม่สร้างสรรค์และอยู่ภายในตัวตนแล้วทำให้ความเป็นคนๆ นั้นไม่สมบูรณ์ ได้แก่ความท้อถอยแม้ว่าเป็นประโยคสั้นๆ แต่ถ้าอาการนี้ถ้าเกิดขึ้นกับใครแล้ว อาการนี้จะเข้ามาทำลายความสมดุลในตัวเรา เข้ามาแทรกในความรู้สึกนึกคิดทำให้พลังและศักยภาพของเราลดน้อยลงกว่าครึ่ง ในเรื่องความท้อถอยมักเกิดขึ้นกับบุคคลที่อยู่ในช่วงอายุ 20-40 ปี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าบุคคลในช่วงอายุอื่นจะไม่มีความท้อ บางท่านอาจเกิดอาการท้อเป็นช่วงๆ บางท่านโชคดีไม่รู้จักความท้อ 
ความท้อถอยสามารถสังเกตได้จากอาการ 3 ลักษณะ คือ
1. ลักษณะของความท้อถอยทางด้านอารมณ์ หรือ ความอ่อนล้าทางอารมณ์ ได้แก่ความรู้สึกเบื่อหน่าย ความอ่อนล้า หมดเรี่ยวหมดแรง เกิดความเครียด ความคับข้องใจ ไม่สบอารมณ์   
2. ลักษณะของความท้อถอยที่เกิดจากสัมพันธภาพกับบุคคลอื่น ได้แก่ ลักษณะของบุคคลที่ไม่สนใจในพฤติกรรมของใคร  ไม่ยินดียินร้าย ใครจะทักก็ช่าง ใครไม่ทักก็ช่าง ไม่ใส่ใจพฤติกรรมของคนอื่น มีเจตคติและแนวคิดที่ไม่ดีต่อคนอื่น มองคนอื่นในแง่ร้าย 
3. ลักษณะของความท้อถอยที่เกิดจากการไม่ประสบความสำเร็จในการทำงานของคนบางท่านอาจจะรู้สึกเองว่าตนเองไร้ความสามารถ การทำงานล้มเหลว งานไม่สมกับที่ตั้งใจไว้ บุคคลกลุ่มนี้จะมองคุณค่าของตนเองต่ำ
สาเหตุของความท้อถอย 
  ด้านบุคลิกภาพ บุคลิกภาพที่พึ่งพาคนอื่น บุคลิกภาพที่ขาดความอดทน ขาดความอดกลั้น  บุคลิกภาพที่เชื่อมั่นตนเองสูง บุคลิกภาพที่มีความรับรู้ตนเองต่ำ จิตใจไม่มั่นคง ไม่มั่นใจในทุกเรื่อง 
  ด้านอายุ บุคคลที่มีอายุน้อย ความท้อถอย มีมากกว่าบุคคลที่สูงอายุ ทั้งนี้เพราะความท้อถอยมีความสัมพันธ์กับประสบการณ์ วุฒิภาวะ การรู้จักชีวิตมากขึ้น 
  ด้านสถานภาพการสมรส ความท้อมักเกิดกับคนโสดมากกว่าคนสมรสแล้ว ความท้อยังสัมพันธ์กับความเหงา คนโสดทั้งหญิงและชาย ถ้าเกิดอาการท้อถอย บุคคลในกลุ่มนี่จะเกิดอาการนานและค่อนข้างรุนแรง 
  ด้านการปฏิบัติงานในความรับผิดชอบ เริ่มตั้งแต่สองปีแรกของการทำงานบุคคลจะเกิดความท้อได้ง่าย ยิ่งปฏิบัติงานแบบไม่มีใครช่วยใคร บุคคลยิ่งเกิดอาการท้อมากขึ้น 
แนวทางและวิธีการในการแก้ไขอาการท้อถอย  
1. ทุกสิ่งทุกอย่างต้องแก้ไขที่ตัวเราเองเท่านั้น 
2. อย่าเป็นคนตั้งความหวัง ความปรารถนาที่สูงสุดเอื้อม 
3. สร้างเจคติเรื่องงานใหม่ให้ท่านคิดว่า งานคือชีวิต ชีวิตคืองานบันดาลสุขทำงานให้สนุกเป็นสุขเมื่อทำงาน
4. มองหาจุดมุ่งหมายในชีวิตใหม่ 
ครูกับการพัฒนาตน
1. การพัฒนาตนเป็นการที่บุคคลพยายามหาวิธีการที่เหมาะสมเพื่อให้ตนเองก้าวไปสู่การเป็นผู้มีบุคลิกภาพที่สมบูรณ์ ในขอบเขต
   ที่มีความพอเหมาะพอดีกับความสามารถของผู้นั้น และเหมาะสมกับค่านิยมของสังคม เพื่อการมีชีวิตอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข การพัฒนาคนนับเป็นสิ่งสำคัญในอันที่จะนำไปสู่การพัฒนาอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เป็นครู
2. ครูควรพัฒนาตนเองใน 2 ลักษณะคือ
    1. การพัฒนาตนเองในด้านวิชาชีพ เพื่อการประกอบวิชาชีพอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งได้แก่
                           - การพัฒนาในด้านความรู้
                           - การพัฒนาในด้านเทคโนโลยี
                           - การพัฒนาในด้านคุณลักษณะกับเจตคติ
    2. การพัฒนาตนในด้านการเป็นสมาชิกของสังคม เพื่อการดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข 
                           - การรู้จักตนเองและการเข้าใจตนเอง
                           - การสำรวจตนเอง
                           - การปรับปรุงตนเองในด้าน การพัฒนาบุคลิกภาพภายนอก – ภายใน การพัฒนาลักษณะนิสัยที่ดี การพัฒนามนุษยสัมพันธ์ การพัฒนาการเรียนรู้
การพัฒนาตนเองควรประกอบด้วยขั้นตอน ดังนี้
1. พยายามค้นพบตนเอง ทำความรู้จักตนเอง โดยหมั่นตรวจตราพิจารณาตนเองถึงอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด ตลอดจนการกระทำของตนเอง นอกจากนี้ควรสนใจรับฟังข้อคิดเห็น หรือคำวิจารณ์ของบุคคลอื่นที่มีต่อตัวเราบ้าง ต่อจากนั้นให้หันกลับมาพิจารณาตนเองในแง่มุมเหล่านี้ 
                        1.1 ตัวของเราที่เป็นจริงเป็นอย่างไร
                        1.2 ตัวของเราที่รับรู้เป็นอย่างไร
                        1.3 ตัวของเราที่เราอยากจะเป็น เป็นอย่างไร
2.  เมื่อได้พิจารณาตนเองแล้ว รู้จักตนเองแล้ว เรายอมรับได้ไหมว่า สิ่งนั้นคือตัวเรา การยอมรับตนเองนั้น ควรจะยอมรับทั้งในส่วนที่เป็นจุดอ่อน และจุดเด่นไปด้วยกัน มิใช้จะยอมรับแต่จุดเด่น แล้วไม่สนใจจุดอ่อนโดยไม่ยอมรับจุดอ่อน
3.  ท้ายที่สุด คือ การหาทางพัฒนาจุดอ่อนหรือส่วนที่เราไม่พอใจที่อยู่ในตัวเรา (bed me) ให้ดีขึ้น (good me)
หลักและวิธีเสริมสร้างบุคลิกภาพ
การยืน เดิน นั่งเป็นส่วนสำคัญที่บอกถึงบุคลิกภาพของแต่ละบุคคลอิริยาบถคือการเดิน ยืน นั่ง เปิด-ปิดประตู ขึ้นลงรถ อย่างถูกต้องสวยงาม
   
การรู้จักทำตัวให้เข้ากับบุคคล สถานที่ และเวลา อย่างถูกต้องถือว่ามีมารยาททางสังคมที่ดี เช่น การรู้จักกราบไหว้ที่ถูกวิธี และถูกกาลเทศะ การรู้จักธรรมเนียมของชาวต่างชาติ การปฏิบัติตนในงานเลี้ยงต่างๆการไปเยี่ยมคนป่วยการมอบดอกไม้แสดงความยินดีหรือให้ผู้อาวุโส เป็นต้น
   
บางครั้งเราอาจจะต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจ และอาจเกิดอะไรขึ้นกับเราได้ทุกวินาทีนั้น เราต้องพร้อมเสมอที่จะเผชิญกับเหตุการณ์ในลักษณะที่พร้อม คือไม่ตกใจ ดีใจ เสียใจ กลัว เกินกว่าเหตุ สามารถควบคุมท่าทางของตนเองได้เป็นอย่างดี
แนวทางในการพัฒนาบุคลิกภาพ
การรักษาสุขภาพอนามัย
      - 
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
     
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
      - 
ควบคุมน้ำหนักไม่ให้เพิ่มหรือลดผิดปกติ
      - 
ละเว้นการสูบบุหรี่หรือยาเสพติดให้โทษทุกชนิด
      - 
ไม่ดื่มสิ่งของที่มีแอลกอฮอล์หรือคาเฟอีน
      - 
พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ วันละ 7-8 ชม.
      - 
รักษาอารมณ์ให้สดชื่นแจ่มใสอยู่เสมอ
การดูแลร่างกาย
    - 
รักษาความสะอาดในช่องปากและฟัน
    - 
ดูแลรักษาเส้นผมและทรงผมให้เรียบร้อยทั้งด้านความสะอาดและรูปทรง
    - 
โกนหนวดเคราให้เกลี้ยงเกลา ตัดและขริบให้เรียบร้อย
    - 
รักษาผิวพรรณให้สะอาดสดชื่นอยู่เสมอ อย่าให้ผิวแห้งกร้าน
    - 
รักษากลิ่นตัว 
    - 
รู้จักการแต่งหน้าแต่พองาม
    - 
ดูแลเล็บมือ เล็บเท้า ให้สะอาดอยู่เสมอ
    - 
ปรับเปลี่ยนเสื้อผ้าและชุดชั้นในที่สวมใส่ทุกวัน
    - 
ควรมีการเช็คร่างกายเป็นประจำทุกปี
    - 
เมื่อร่างกายมีอาการผิดปกติรีบไปปรึกษาแพทย์
การแต่งกาย
     - 
สวมใส่เสื้อผ้าที่สะอาด ซักรีดให้เรียบ
     - 
สีสันไม่ฉูดฉาดควรเลือกสีให้เหมาะสมกับรูปร่างและผิวพรรณของตนเอง
     - 
กระเป๋าถือและรองเท้า ควรใช้หนังที่มีคุณภาพดี สีเรียบ สำรวจส้นรองเท้าจัดการซ่อมแซมให้เรียบร้อย
     - 
แต่งหน้าให้แนบเนียน ไม่แต่งเข้มผิดธรรมชาติ เลือกใช้เครื่องสำอางที่มีคุณภาพดี
     - 
เล็บและการทาเล็บ ไม่ควรไว้เล็บยาวจนเกินไป ควรเลือกสีกลาง ๆ อย่าปล่อยให้สีถลอกจะไม่น่าดู
     - 
ผม หมั่นสระให้สะอาด  อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง  แปรงหวีให้เรียบร้อย เลือกทรงผมที่รับกับใบหน้า
     - 
เครื่องประดับ ควรใช้เพื่อเสริมการแต่งกายให้ดูดีขึ้น แต่ไม่ควรใช้เครื่องประดับมากจนเกินไปจนดูสะดุดตารกรุงรังไปหมด
     - 
ควรแต่งกายให้เหมาะสมกับสภาพภูมิศาสตร์และวัฒนธรรม
     - 
ควรแต่งกายให้เหมาะสมกับกาลเทศะ
อารมณ์
       
รู้จักควบคุมอารมณ์ ไม่ปล่อยอารมณ์ไปตามใจตนเอง  คนที่ควบคุมอารมณ์ตนเองได้จะได้เปรียบและจะเอาชนะเหตุการณ์ต่าง ๆ 
   ที่เกิดขึ้นได้ในการปฏิบัติงานเป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องมีเหตุการณ์มากระทบกระเทือนอารมณ์กันอยู่เสมอ
       
ฉะนั้น บุคคลใดที่ต้องการจะพัฒนาบุคลิกภาพของตนให้ดีขึ้นจะต้องเป็นคนรู้จักอดทนใจเย็นเมื่อมีเหตุการณ์ที่ไม่ถูกใจเกิดขึ้น
ความเชื่อมั่นในตนเอง
      -  ยอมรับในความสามารถของตนเอง
      - 
อย่าเล็งผลเลิศในการทำงานจนเกินไป
      - 
อย่าถือคติว่าการทำงานสิ่งใดเมื่อทำแล้วต้องดีที่สุด
      - 
อย่านำความเก่งของผู้อื่นมาทับถมตนเอง
      - 
หมั่นฝึกจิตใจตนเองให้ชนะความกลัวให้ได้
การพัฒนาบุคลิกภาพด้านความรู้สึกนึกคิด
ความรู้สึกนึกคิดของแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน ถ้ามีความรู้สึกนึกคิดในด้านดี ไม่มองคนในแง่ร้ายจิตใจก็เป็นสุข ไม่มีความกังวล ดังนั้นจึงควรพัฒนาบุคลิกภาพด้านความรู้สึกนึกคิดดังนี้
1.  มีความเชื่อมั่นในตนเองในการกระทำในสิ่งต่าง ๆ
     2. 
มีความซื่อสัตย์ กระทำตนให้ผู้อื่นเชื่อถือเรา แล้วความไว้วางใจจะตามมา มีเรื่องสำคัญเขาก็จะให้เราทำ
     3. 
มีความสามารถที่จะทำสิ่งเหล่านั้น ให้เหมาะสมกับผู้ที่มอบหมายไว้วางใจให้เราทำ
     4. 
มีความกระตือรือร้น ที่อยากจะทำ เตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ
     5. 
มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ รู้จักปรับปรุงงานอยู่เสมอ
     6. 
มีความรับผิดชอบ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามต้องมีความห่วงใยจะต้องทำให้เสร็จทันตามกำหนดเวลา
     7. 
มีความรอบรู้                 
8.  ห่วงตัวเอง เติมชีวิตให้กับตัวเอง
9.  มีความจำแม่น
10. วางตัวเหมาะสมกับกาลเทศะ
การพัฒนาบุคลิกภาพด้านกายบริหารทรวดทรง

      องค์ประกอบของทรวดทรง ขึ้นอยู่กับกลไกของการเคลื่อนไหวของร่างกายและโครงสร้างของร่างกายไม่ว่าหญิงหรือชายก็ชอบที่จะมีรูปร่างงามทั้งนั้น ผู้ชายก็ต้องการมีรูปร่างสมาร์ท ผู้หญิงก็ต้องการมีเอวบาง ร่างน้อย มีสุขภาพดี การมีรูปร่างงาม สุขภาพดี เกิดจากการพัฒนาตัวเราเอง เราเป็นผู้วางแผนในชีวิตของเราเอง
           
ทรวดทรงอาจไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต แต่ส่วนสัดและท่าทาง ทำให้คนทุกคนดูแตกต่างกันไป บุคลิกที่ไม่ดีแสดงว่าเจ้าของเรือนร่างขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง ถ้าได้เรียนรู้วิธีเสริมสร้างเสน่ห์ให้กับบุคลิกภาพของตนเองแล้ว จะไม่เพียงทำให้มีรูปร่างสง่างามเท่านั้น ยังสามารถทำให้การปฏิบัติงานเกิดความเชื่อมั่น  งานก็มีประสิทธิภาพอีกด้วย ดังนั้นจึงควรใช้เวลาในการบริหารทรวดทรงของตนเองเป็นประจำสม่ำเสมอ เพราะสุขภาพที่ดี และทรวดทรงที่งดงามอีกด้วย


การปรับปรุงบุคลิกภาพภายใน
  การยอมรับความจริงเกี่ยวกับตนเอง 
  การปรับปรุงในส่วนที่จะปรับปรุงได้ 
  การใช้สิ่งอื่นๆ เพื่อส่งเสริมบุคลิกภาพ 
การส่งเสริมบุคลิกภาพที่ดีควรส่งเสริมคุณภาพจิตสาธารณะมากำกับ เพื่อบุคคลจะได้ลดละความเห็นแก่ตนในระดับที่พอดำรงชีวิตอยู่ได้ เสียสละ เกื้อกูลคนอื่น เป็นผู้รับในบางโอกาสและเป็นผู้ให้ในบางโอกาส มีจิตใจที่ดีงาม มีร่างกายที่สะอาดสดใสก็เท่ากับว่าบุคคลได้ส่งเสริมหรือพัฒนาบุคลิกภาพแล้วนั่นเอง
การพัฒนาบุคลิกภาพด้านการเรียนรู้
ในโลกปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นครูจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเรียนรู้และเพิ่มพูนประสบการณ์ให้ตรงกับตนเองอยู่เสมอ เช่น
                               1. การฟัง
                               2. การอ่าน 
                               3. การเขียน
                               4. การสังเกต
                               5. การคิด
                               6. การทดลอง
ความรู้ที่ได้รับ
      บุคคลธรรมดา ๆ จะได้รับความคาดหวังเพียงระดับหนึ่ง แต่บุคคลระดับนำ ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้า ผู้จัดการ ผู้บริหาร หรือผู้นำจริง ๆ นั้น จะถูกคาดหวังในเรื่องบุคลิกภาพที่ดีเป็นอย่างมาก และมักจะถูกตำหนิได้ง่าย ๆ จึงต้องระมัดระวัง ใส่ใจ ต่อทุก ๆ การพูด คิด ทำ สั่ง แสดงออก ฯลฯ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นกิริยาอาการ การกระทำ หรือความเคลื่อนไหวที่อยู่ในความสนใจ และการจับตามองของคนอื่นทั้งสิ้น

ประเมินอาจารย์  อาจารย์มีความพร้อมในการสอน และนำเสนอเนื้อหาข้อมูลที่ถูกต้องและน่าสนใจ
ประเมินเพื่อน ทุกคนตั้งใจเรียน และแต่งกายเรียบร้อย เข้าเรียนตรงต่อเวลา
ประเมินตนเอง เข้าเรียนตรงต่อเวลา และแต่งกายเรียบร้อย ตั้งใจเรียนและให้ความร่วมมืออาจารย์ผู้
สอน

บันทึกการเรียน ครั้งที่14 วันพุธ ที่25 เมษายน 2561 เนื้อหา การนำเสนอคำคมทางการบริการคุณลักษณะของผู้นำที่ดี โดย นางสาวภัสสร คล้าย...